โครงการเสื้อกันหนาว ใจอบอุ่น ณ โรงเรียนเซนต์โยแซฟ แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่

โครงการเสื้อกันหนาว ใจอบอุ่น ณ โรงเรียนเซนต์โยแซฟ แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที 29-31 ตค 2553


โครงการนี้ เป็นโครงการ ที่พวกเราร่วมกันสมทบทุนคนละเล็กละน้อย เพื่อจัดหาชุดอุปกรณ์กันหนาว ซึ่งได้แก่  เสื้อกันหนาว +กางเกงที่อุ่น +รองเท้าผ้าใบ ใส่เป็นรองเท้านักเรียนก็ได้ และใส่เพื่อป้องกันความหนาวก็ได้   ด้วยความตั้งใจ เพื่อส่งมอบให้เด็กนักเรียนชาวดอย ในโรงเรียนเซนต์โยแซฟ แม่แจ่ม จำนวน 350 ชุด

บรรยากาศ การเตรียมของเพื่อจัดขนส่งไปให้ที่ขนส่ง ไม่น่าจะยุ่งยากลำบากนัก แต่ก็เกิดจนได้ เมื่อ เสื้อ+กางเกง ประมาณ 180 ชุด  ประมาณ 130 กิโล  ไม่สามารถส่งให้เราได้ทันตามกำหนดเวลาที่วางไว้  (ของที่มาก่อนหน้านี้ ประมาณ 400-500 กิโล ได้จัดส่งไปทางขนส่งแล้ว  ) ทำให้เราต้องต้องจัดการขนส่งไปด้วยตนเอง พร้อมกับการเดินทาง ไปเชียงใหม่  ปัญหาคือ ลังเสื้อผ้าใหญ่มาก ไม่สามารถขนขึ้นรถที่เราเช่าได้ ดังนั้นเราทำการเปลี่ยนกล่องให้มีขนาดเล็กลงเพื่อขนขึ้นรถไปที่สนามบินได้    เราต้องทำการขอร้องเจ้าหน้าที่ที่สนามบินเพราะเราตั้งใจไปบริจาค  วันนั้นกว่าจะได้นอน ประมาณ ตี2 และเราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทาง แต่ปัญหาคือ ร่างกายเราเริ่มมีปัญหา อย่างมาก เรารู้ตัวดี  ดังนั้นจึงขอ เวลาเพื่อนร่วมคณะเดินทางได้แก่ คุณแป๊ะ และพี่ต๋อย และลูกๆ  ขอเราเข้าโรงพยาบาลตรวจร่างกายด้วยทันที่เราถึงเชียงใหม่   เรารู้สึกว่าร่างกายเราผิดปกติมากๆ   หลังจากตรวจ   หมอวินิจฉัย จะให้เรานอนพักที่โรงพยาบาลเลยเพื่อตรวจหาสาเหตุ  และต้องนอนพัก ที่โรงพยาบาลอีก 3 ชั่วโมง    เราบอกหมอว่า ขอยาให้เราก่อน   เราเริ่มซีด และ รู้สึกปวดหัวมาก  แต่ ไม่ขอนอนโรงพยาบาลที่เชียงใหม่  เราบอกหมอว่า กลับจากดอย เราจะรีบเข้าไปตรวจร่างกายที่ โรงพยาบาลที่กรุงเทพ  เพราะเรามาทำบุญ ตั้งใจมอบของ เพราะถ้าเรานอนโรงพยาบาลที่เชียงใหม่   แผนที่วางไว้จะผิดแผนไปหมด


นี่คือบรรยากาศการเตรียมการณ์

หลังจาก นำของขึ้นรถเช่าแล้ว  เราได้คนขับรถที่เก่งมากคือคุณแป๊ะของเรานี่เอง ขับให้อย่างมืออาชีพ  แรกๆเราก็กลัวมาก เพราะ ดอยค่อนข้างสูงมาก สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1500-1600  เมตร  มองลงไปเป็นเหว ทางก็แคบ  หมอกเต็มไปหมด  มองไม่ค่อยเห็นทางมากนัก  





 กว่าเราจะถึงโรงเรียนประมาณ 18.30 น. บรรยากาศเริ่มพลบค่ำ มืด สัญญาณโทรศัพท์ มือถือก็ไม่มี ติดต่อใครไม่ได้ ดังนั้นห้ามหลงทาง เด็ดขาด   แต่เพราะการขับรถที่เชี่ยวชาญ ของคุณแป๊ะ ทำให้เราวางใจ  สามารถมองดูบรรยากาศ รอบตัว  มันสวยงามมาก อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ  เมืองไทยสวยงามไม่แพ้สวิสเซอร์แลนด์เลยที่เดียว






เมื่อเราไปถึง   ทางมาเซอร์ (คุณตรู)  ก็มาต้อนรับเรา จัดหาอาหารแบบชาวดอยมาให้กิน  มื้อแรก  เราเห็นเราก็แหยงๆ เพราะเราค่อนข้างทานยาก  แต่พอทานเข้าไป ทำไมอาหารอร่อยอย่างนี้   เราไม่รู้จักใคร  เราก็ไปทำความรู้จักกันบนโรงเรียน 

  

เมื่อเราไปถึงโรงเรียน แต่แรกที่คิดเรามาผิดที่หรือเปล่า เพราะโรงเรียนทำไมสวยงามมากเหมือนรีสอร์ทเลย 





 เราตั้งใจมอบให้แก่คนด้อยโอกาส  คนที่ขาดแคลนเสื้อกันหนาวและอุปกรณ์กันหนาว  เราเริ่มไม่แน่ใจและชักลังเล  แต่หลังจากที่เรา สัมผัส  เราขอนอนในโรงเรียนเลย  เพื่อเรียนรู้ว่า โรงเรียนขาดแคลนจริงหรือไม่   หลังจากคืนแรกผ่าน ไป  เราขอนอนคืนที่ 2 ด้วย เพราะอยากเห็นและ สัมผัส ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านด้วย 
  
คนแรกที่เราได้ สัมผัส คือเด็กนักเรียน ชั้น อนุบาล .3 ตัวนิดเดียวเลยที่เดียว  2 คน มานั่งขดตัวหน้าบ้านพักมาเซอร์ เพราะอยากมาเห็นพวกเราด้วย  เรานั่งคุยกับเด็ก   สัมผัสมือด้วยกัน  มือน้อง  เย็นมากๆ เสื้อผ้าที่ใส่คือเสื้อแขนยาวแต่บาง รองเท้าแตะ  นั่งลูบมือ ตนเองเพื่อให้คลายหนาว  ใจเราอยากให้เสื้อผ้าตอนนั้นเลย  แต่เราทำไม่ได้ เพราะ ที่โรงเรียน ต้องมีระเบียบ ให้มาเซอร์ เป็นคนจัดการให้ดีกว่า  เพราะท่านจะรู้ดีว่าจะจัดการกับเสื้อผ้าบริจาคอย่างไร
  
เด็กบนดอย  แรกๆเราชวนเล่นด้วยไม่ค่อยมีใครกล้า มาหาเรา  แต่ไม่ยากสำหรับเรา ไม่นาน มีเด็ก ป.3 อยู่ 2 คน  เราจูงมือ ขอให้น้องๆ  พาคุณครู ซึ่งก็คือเราสำรวจโรงเรียน ด้วย เราชวนเด็กๆคุยด้วย  เด็ก ๆเริ่มจาก2 คน  กลายเป็น 8  คนเริ่มเดินตามเรา ทำหน้าที่ เจ้าของบ้านพาเราเดินสำรวจ
นี่คือที่อาบน้ำรวม เด็กๆอาบน้ำรวมกัน และต้องซักเสื้อผ้าเอง น้ำเย็นมากๆ



โรงเรียน ซึ่งมี 5 ชั้น เด็กๆพาเราดูโรงนอน  ซึ่งที่นอนของเด็ก  จะแยก ชาย หญิง   เป็นเตียงนอน 2 ชั้น   ห้องหนึ่งประมาณ 100กว่าคน   ทุกคนจะมีชื่อติดที่เตียงนอน และ มี ล๊อกเกอร์ ชั้นวาง เป็นส่วนตัวเหมือนโรงเรียนประจำ   ซักเสื้อผ้าเอง  อาบน้ำเอง ดูแลตัวเอง ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  มีตารางเวลาในการทำหน้าที่ตัวเองอย่างเด่นชัด
                                                                     นี่คือ สภาพที่นอนของเด็กๆในโรงเรียน




 นี่คือเด็ก ป.3 ที่เราสัมผัส  เราบอกให้น้องขวัญพร ร้องเพลงให้เราฟัง  น้องขวัญ ร้องเพลง ได้ไพเราะมาก ความหมายดีสุดๆ   เราชักเริ่มหลงรัก ความใสซื่อบริสุทธิ์ ของเด็กเหล่านั้นแล้ว  เด็กๆ พาเราไปดู แผง โซล่าร์ เซลล์   ดูยุ้งข้าว  ดูที่ตำข้าว   ดูแปลงปลูกผัก   ดูแหล่งเก็บน้ำ  เราเริ่มแสดงร่างเป็นคุณครู  ถามว่า เด็กๆ  ใครอ่านหนังสืออกได้บ้าง ช่วยอ่านให้ครูฟังหน่อย   เด็ก 6 คนอ่านออก เขียนได้  เด็ก 2 คน  ยังอ่านไม่ค่อยจะออก  หรืออาจจะยังอายๆ  เราเริ่มทะลายกำแพงบอก เด็ก ๆ  ช่วยบอกครูด้วยว่า แปลงต้นไม้ของเด็กมีต้นไม่กี่สี  ใครจำได้บ้างเอ่ย  เท่านั้น กำแพงความอาย เริ่มดีขึ้น  แย่งกันตอบ   เด็กพาเราขึ้นโรงเรียนทางลัด คือเดินไต่เขา เด็กๆ เดินอย่างคล่องแคล่ว   เราใส่รองเท้ามีส้น  ค่อยปีนอย่างระมัดระวัง  พอถึงเนิน ข้างบน เริ่มเหนื่อยหอบ  แต่สนุก และรู้สึกดีมากๆ 

เราคิดว่า เด็กดอย ใส ซื่อบริสุทธิ์   (หลอกง่าย มากๆ ) ถ้าเด็กเหล่านั้นไม่มีการศึกษา อนาคต คงจะแย่แน่ๆ  อาจนำไปสู่การถูกหลอกขายตัวได้  เราเริ่มรู้สึกทึ่งคณะมาเซอร์   ที่ทุ่มเทสอนเด็ก ให้มีความรู้ไว้ใช้ติดตัว   จนสามารถอ่านหนังสือออกได้


สภาพโรงเรียนเดิม ตั้งแต่เริ่มจัดตั้ง

มาแมร์   (มาเซอร์ ครูใหญ่ )อายุมากว่า 60 ปี  เป็นคนเริ่มจัดตั้งโรงเรียนบนดอย   จะเห็นได้ว่า เด็กมีชุดนักเรียนที่ได้รับบริจาคมาจากหลายโรงเรียน หลากหลายสีสรร

นี่คือสภาพของโรงเรียน  ตอนเริ่มจัดตั้ง  คนที่ใส่หมวก คือ คือมาเซอร์ ที่ทำการสอนเด็ก โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน  หวังเพื่อให้เด็กได้รับการศึกษา  อ่านออกเขียนได้


โรงเรียนเริ่มได้รับการสนับสนุน จากหลากหลายที่ สร้างโรงเรียนอย่างมั่นคงถาวร สวยงามเหมือน
รีสอร์ท


เราสอบถาม มาเซอร์ ว่า ทำไมสร้างได้สวยงามมาก   มาเซอร์ ตอบว่า ต้องสร้างอย่างดีให้แข็งแรงทนทาน ให้สมกับการที่คนมาบริจาค  แต่มาเซอร์ สร้างได้ถูกเพราะ ได้ซื้อวัสดุก่อสร้างในราคาทุน  ชาวบ้านทำอิฐกันเอง โดยมีวิทยากรจากบริษัท วัสดุก่อสร้าง มาสอนการทำ  การก่อสร้าง ค่าแรงไม่เสียมากนัก  และ ด้วยภูมิอากาศที่หนาวเย็นตลอดปี ไม่ค่อยมีแสงแดด  ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง  ต้องสร้างตัวอาคารให้โปร่งเป็นกระจกรอบ เพื่อกันลม  และ เพื่อเวลากลางวันที่สอนหนังสือเด็ก ใช้ไฟฟ้าจากแสงแดดที่ส่องเข้ามาในตัวโรงเรียน จะได้มองเห็น  เพราะที่นั่น ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง

นี่คือความชาญฉลาดในการบริหารจัดการของคนที่มีสำนึกดี กลุ่มหนึ่งที่ตั้งใจมอบโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กในถิ่นทุรกันดารได้มีโอกาสในการเล่าเรียนหนังสือ ทุกอย่างที่นั่นฟรีหมด ไม่ว่า จะเป็นค่ากินอยู่ 3 มื้อ  รวมทั้งที่นอน โรงเรียนมีเด็กประจำประมาณ 200-300 คน เด็กมาจากหลายหลายหมู่บ้าน 70 กว่าหมู่บ้าน  แต่ละที่ห่างกันมาก เด็กบางคน ต้องเดินเท้า 1 วันเต็มๆ เพื่อกลับบ้าน  หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด เดินประมาณ 3 ชั่วโมง ( 8 กิโลเมตร  บนยอดดอยจากโรงเรียน  ถนนลูกรัง  ) ดังนั้น เด็กๆ ต้องนอนค้างที่โรงเรียน ปิดเทอมค่อยกลับบ้านตัวเอง 

เราเริ่มรู้สึกว่าเราคิดถูกมากๆ ที่ตัดสินใจรวบรวม สมทบทุนกัน หาอุปกรณ์กันหนาวให้เด็ก สำหรับหนาวที่กำลังจะมาถึงนี้  ขนาดเราไปช่วงเดือน ตุลาคม ยังหนาวมากเลย  เพราะทำเลที่ตั้งของโรงเรียนรับลมมาเต็มๆเลย    ยิ่งถ้าใกล้ปีใหม่  ความหนาวเย็นคงสะท้านแน่ๆ  ถ้าเพื่อนๆ ดูรูปแล้ว อาจจะนึกว่า เด็กๆบางคนก็มีเสื้อกันหนาวใส่บ้างแล้ว  จริงดังเช่นนั้น  แต่เด็กบางคนยังไม่มีเลย  บางคนมี เสื้อก็ค่อนข้างบาง กันลม แต่ไม่กันหนาว   และยิ่งรองเท้าแตะ  ความหนาวคงต้องมาเยือนให้สะท้าน 


 ดังนั้น เราจึงรู้สึกดีมากที่พวกเราช่วยกันรวบรวมเงิน มาซื้อรองเท้าและถุงเท้าให้เด็กๆได้มีใส่กัน  ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กที่นี่อยากได้มากที่สุด  ก็คือ ถุงเท้าและรองเท้า

นี่คือผลงานของพวกเรา  เด็กๆ  ได้รับของพวกเราทุกคน คือ เสื้อกันหนาว+กางเกง+รองเท้า+ถุงเท้า


เราตัดสินใจค้างคืนที่โรงเรียน เพราะอยากลุย อยากสัมผัสของจริง อากาศหนาวเย็นมากๆ   พวกเรา 5 คน ได้แก่ คุณแป๊ะ   พี่ต๋อย  แคท น้องพา และ น้องปั้น  เตรียมเสื้อกันหนาวมาบางมาก เพราะคิดว่าคงไม่เท่าไร    แต่ผิดคาด อุณหภูมิ 13 องศา พร้อมลมแรงและเย็น หนาวเย็นยะเยือกจับใจ  ทางพี่ต๋อย เพื่อนร่วมเดินทางของเราชักไม่ไหวแล้ว  ขอยืมเสื้อที่เตรียมมาบริจาคมาใส่กันหนาวก่อน  เช่นเดียวกัน น้องพา และน้องปั้น มีเสื้อกันหนาวแล้ว  แต่ไม่อาจสู้ลมหนาวที่มาเยือนได้

เราได้นอนค้างที่โรงเรียน มีห้องน้ำ  ซึ่งมีน้ำที่เย็นมากๆ  ไฟฟ้าที่ใช้ ใช้เครื่องปั่นไฟ  ประมาณ 3 ทุ่ม ไฟจะดับ ที่โรงเรียนพยายามช่วยตนเอง โดยการทำแผงโซลาล่าร์เซลล์เพื่อกักเก็บแสงอาทิตย์ ให้แปลงเป็นไฟฟ้าไว้ใช้ได้ในยามค่ำคืน  แต่ที่บนดอย  แสงอาทิตย์ไม่ค่อยมี ดังนั้นการใช้ไฟ จึงใช้กันอย่างประหยัด  ต้องใช้เครื่องปั่นไฟช่วย

เราสังเกตจากผ้าห่ม ที่ทางโรงเรียนเตรียมให้เรา ผ้าห่มเตรียมให้คนละ 4 ผืน แต่ ไม่อาจจะสู้ลมหนาวได้ เวลานอน จะสะท้านเพราะความหนาว กลิ่นผ้าห่มจะหื่นมากๆ  นั่นหมายความว่า ผ้าห่ม เวลาซักแล้วตาก ไม่ได้โดนแสงอาทิตย์ เลย  จึงมีกลิ่นติดผ้าห่มมา
ที่โรงเรียนมีแปลงปลูกข้าวเอง เพื่อไว้ใช้กิน มีแปลงผัก และเลี้ยงไก่  โรงเรียนจะให้เด็ก ป4-6 ช่วยเกี่ยวข้าว สีข้าว  พร้อมชาวบ้านบางส่วน  เพื่อเลี้ยงตนเอง   อยู่กันแบบมีน้ำใจให้กัน 

เมื่อไฟดับ เรากลับไม่ได้ รู้สึก กลัวในความมืดเลย  เรารู้สึกว่าที่โรงเรียนค่อนข้างปลอดภัย  อาจจะเพราะ โรงเรียนเป็นศูนย์รวมเด็กกว่า 300 ชีวิต  ซึ่งอยู่ประจำโรงเรียน ซึ่งก็คือลูกหลานชาวบ้าน
ตามหมู่บ้านต่างๆ  แถวนั้นประมาณ 70 หมู่บ้าน ดังนั้น เรื่องคนร้ายเราจึงไม่ค่อยกลัว เพราะที่โรงเรียน อยู่กันแบบมีน้ำใจให้ซึ่งกันและกัน และ ชาวบ้านส่วนมาก นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งต้องเข้าโบสภ์ทุกวัน ได้รับการอบรม จากนักบวช ซึ่งเราได้มีโอกาสเข้าไปร่วมพิธีมิสซ่าด้วย 
  เราพบว่าทุกศาสนา สอนให้ คนเป็นคนดี  ไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาไหน ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ อย่างเป็นสุข 

 หลังจากไฟดับหมด เรากลับพบว่า ท้องฟ้าเหนือโรงเรียนเซนต์โยแซฟ  บนดอยแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่  เป็นท้องฟ้าที่สวยที่สุดเท่าที่เราเคยสัมผัสมา ดาวนับพันดวง สุกสว่างเต็มท้องฟ้า    มันน่าตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจมากๆ   เราเคยเดินทางท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ มากกว่า 30 ประเทศ   แต่เรากลับพบว่า ดอยแม่แจ่ม เป็นดอยที่มีธรรมชาติงดงาม สวยงามไม่แพ้ใครในโลก และ บนที่แห่งนั่น มีคนที่มีจิตใจที่ดีมากๆ อยู่หลายท่านที่อุทิศตนด้วยความเต็มใจในการอบรมสั่งสอนให้เด็ก ๆได้มีโอกาสทางการศึกษา  สอนให้มีน้ำใจให้ต่อกัน  ทำให้เราได้เรียนรู้ คุณค่าของชีวิต  การมีน้ำใจให้กัน  ถ้าเรามีโอกาส เราจะไปเยือน อีกหลายครั้ง  อาจจะเอาโครงการดีๆไปลง ต่อไป ถ้ามีโอกาส เราอยากเชิญเพื่อนๆร่วมอุดมการณ์ ไปสัมผัสกับเราด้วย  


 

 


โอมีเชอเปอ   = สวัสดี (ภาษาปการะะญอ
สุดท้ายเราต้องขอขอบคุณ เพื่อนๆเราทุกท่านที่ช่วยๆกัน  คนละเล็ก ละน้อย  คุณวีโรงงานผลิตเสื้อผ้าที่ให้ราคาพิเศษ พร้อมบริจาค เสื้อผ้า อีกหลากหลายชุด ซึ่งจะถูกนำไปมอบให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านต่อไป  คุณหยู เจ้าของโรงงานรองเท้า ที่ให้ราคารองเท้าในราคาพิเศษ  และประสานงานเกี่ยวกับถุงเท้าคุณภาพดีให้เด็กได้มีใช้  ซึ่งจะสามารถอยู่กับเด็กๆเหล่านั้นได้หลายปีทีเดียว  ขอบคุณคุณแป๊ะ พระเอกนักลุยขับรถเก่งมาก ขอบคุณ พี่ต๋อยพี่ร่วมอุดมการณ์  ที่สละเวลามาร่วม ทริป นี้ด้วยกัน

แล้วพบกันใหม่กับโครงการหน้าต่อไปค่ะ

ขอบคุณค่ะ
แคทและทีมงาน

หมายเหตุ : การเดินทางมาบนดอยโรงเรียนเซนต์โยแซฟแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่  จากตัวเมืองเชียงใหม่ขับรถต่อประมาณ  3 ชั่วโมง ถึงอำเภอแม่แจ่ม ระยะทาง 115 กิโลเมตร     จากเชิงดอยขึ้นไปโรงเรียนอีก 46 กม ประมาณ 1 ชั่วโมง